เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๘ เม.ย. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาครูบาอาจารย์เราพูดมา เห็นไหม เวลาเข้ามาในวัดแล้วทุกอย่าง เขี้ยวเล็บต่างๆ ต้องถอดไว้ที่นั่น ไอ้เรื่องนี้เรื่องของกิเลสทั้งนั้นนะ คนเราเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม มีปากมีท้องเหมือนกัน จะกุฎุมพีจะทุกข์จนเข็ญใจต่างๆ ทุกคนมันก็มีสิทธิเหมือนกัน ทุกคนมีหัวใจเหมือนกัน ถ้าหัวใจเหมือนกัน อันนี้สำคัญต่างหากล่ะ

แล้วเวลาพูดเวลาคุยธรรมะ เห็นไหม มันเอากิเลสของตัวเองมาพูด แล้วอ้างนะ อ้างว่าสภาวะแบบนั้นๆ อย่ามาพูด เรื่องของกิเลสทั้งนั้นเลย เพราะอะไร? เพราะมันส่งออก มันส่งออกนะ ศึกษาธรรมขนาดไหน เรารู้ธรรมขนาดไหน เราว่าเรารู้ ขนาดอ้าปากพูดนะผิดแล้ว เพราะอะไร ครูบาอาจารย์ท่านบอก เห็นไหม ของเรานี่ให้ย้อนกลับมาดูใจเรา สิ่งที่ดูใจเรา อย่างที่เราว่า กิเลสมันเหยียบเราจนเต็มตีนอยู่แล้วนะ แล้วมันไม่รู้ แล้วมันก็พูดออกไปข้างนอก

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามีภวาสวะ มีภพ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านอยู่ที่หนองผือ เวลาจิตท่านสงบมาก เวลามันออกเสวยอารมณ์แล้วมันก็ปล่อย เสวยอารมณ์แล้วมันก็ปล่อย “อย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ?” แต่ด้วยคนมีศักยภาพ เห็นไหม ถ้าคำว่า “อย่างนี้” ไม่เอา! ไม่มีเหตุไม่มีผลไง ไม่เอา ถ้าไม่มีเหตุไม่มีผลไม่เอา พอไม่เอาปั๊บนี่ก็เริ่มเข้าไปหาไอ้ความรู้สึก... พอเข้าไป ถึงไปเห็นจุดและต่อมไง จุดแสงสว่างน่ะ เข้าไปหาตรงนี้

ถ้าตอนนั้นไปเชื่อตัวเองนะ เชื่อตัวเองเพราะมันว่างหมดๆ ตอนนั้นมันมหัศจรรย์ด้วย เพราะอะไร? เพราะมองไปภูเขานี่มันจะว่างหมดเลย เพราะโมฆราชพูดไว้ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน บอกว่า “ถ้าเรามองให้โลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ” เวลาเราเน้นย้ำ เราเน้นย้ำตรงนี้นะ

เวลาใครมาบอกว่างๆ นี่ ใครเป็นคนรู้ว่าว่าง ไอ้ความว่างที่เราพูดนี่ ใครเป็นคนรู้มัน อัตตานุทิฏฐิ คือผู้รู้ความว่างไง เราเอาความว่างสิ ถ้าเราบอกว่าถ้าเป็นความว่างนะ ใจเราก็มีค่าเท่าอากาศหรือ? ใจเรามีค่าเท่ากับวัตถุหรือ? ใจเรามันมีค่ามากกว่านั้น เพราะอะไร? เพราะมันเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้นะเป็นสสารที่มีชีวิต สสารทั่วไปมันเป็นสสารที่ไม่มีชีวิต เพราะอะไร? เพราะมันแปรสภาพในตัวมันเอง แต่สสารของธาตุรู้นี่ ธาตุ ๖ นี่ ธาตุรู้อันนี้สำคัญมากเลย เพราะอะไร? เพราะมันไม่เคยตายไง มันเป็นธาตุรู้ มันเป็นธาตุที่มีชีวิต มันเป็นจิตวิญญาณ มันมีความรู้ของมัน

แล้วถ้ามันปลดเปลื้องเข้าไป มันจะละเอียดเข้าไปๆ ฉะนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจตรงนี้เลย ขณะพวกปุถุชนมันพูดออกมา นี่มันเป็นสัญญาทั้งหมดเลย แล้วสัญญาอย่างนี้ เป็นความว่างอย่างนี้ เราจะพูดประจำเลย ใครมาก็บอกว่า ถ้าว่างอย่างนั้นแผ่สองสลึงที่บ้าน ไม่มีความหมายเลย แล้วมันเป็นความคิดของกิเลส เห็นไหม ทุกคนบอกเราเป็นคนดีแล้ว เราทำคุณงามความดีแล้ว ทำไมเราต้องไปวัด เราต้องไปรักษา

นี่มันเหมือนกับคนเรานี่ป่วยแล้วไม่เคยรักษาอะไรเลย แล้วเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นความว่าง เพราะจิตมันเป็นนามธรรม มันนึกว่าว่าง มันว่างของตัวมันเองได้ มันไม่เหมือนวัตถุนี่ ถ้าวัตถุมันมีตัวมันเอง มันว่างไม่ได้ เพราะมันเป็นก้อนหิน มันเป็นวัตถุที่มันมีรูป มันเป็นวัตถุที่กระทบ มันต้องมีพื้นที่ว่างให้มันอยู่ แต่นามธรรม แต่จิตมีความรู้สึก พอบอกว่ามันว่าง มันว่างหมดล่ะ

แล้วบอกว่านี่พระพุทธเจ้าสอนว่า “ปล่อยวางเป็นความว่าง เราก็ว่างกันอยู่แล้ว เราก็มีความสุขอยู่แล้ว” อันนี้กิเลสมันเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหลอกเรานะ มาหลอกผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มาหลอกทุกๆ คนเลย แล้วเวลาเราศึกษากันมาก็ว่าสิ่งนี้เป็นความรู้ๆ แล้วไปไหนก็บอกอย่างนี้เป็นสภาวะ ถ้าพูดออกมานะมันผิดแล้ว ถ้าพูดออกมานี่มันมีทิฏฐิแล้ว มันมีความเห็นแล้ว

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ สิ่งที่เป็นความจริง มันจะบอกสัจจะความจริงเลย เพราะอะไร? เพราะมันมีการกระทำของมัน มันเห็นนะ เหมือนของเรา คนเคยนับตังค์นะ เคยนับแบงก์ นับแบงก์เป็นล้านๆๆ มันนับนี่มันยุ่งยากไหม แล้วเอาแบงก์ออกมานับนี่ นับต่อหน้าธารกำนัลมันจะเป็นอันตรายไหม มันต่างๆ ไหม เขาไม่ทำกันหรอก

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันวิปัสสนาเข้าไปนะ มันสมุจเฉทปหาน มันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนะ มันจะมีการกระทำของมัน มันไม่เป็นอย่างนี้หรอก มันไม่เป็นอย่างที่พูดๆ กันอยู่ ถ้าพูดๆ กันอยู่ การพูดออกมาอย่างนี้เป็นปริยัติทั้งหมดล่ะ มันพูดเป็นปริยัตินะ ไม่ใช่เป็นปฏิบัติ ก็พูดออกมาในภาคปฏิบัติแต่ใจมันเป็นปริยัติ เห็นไหม ปริยัติในปฏิบัติไง มันไม่เป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริง มันธรรมเหนือโลกนะ ที่ว่าผลของการประพฤติปฏิบัติมันไม่มีในพระไตรปิฎกหรอก ไม่มี! พระไตรปิฎกบอกว่าโสดาบัน สกิทา อนาคา พูดนี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ เห็นไหม สกิทาคามี อนาคามีต่างๆ นี่ ขึ้นไปอย่างนั้น มันเป็นสภาวะแบบนั้น แต่ท่านไม่ได้อธิบายถึงผลเพราะอะไร? เพราะเวลาคนศึกษาเล่าเรียนจบไปแล้ว เวลาทำหน้าที่การงานขึ้นมา ความชำนาญคนไม่เหมือนกันหรอก เราจบมาเหมือนกัน ผู้มีประสบการณ์ทำงานไม่เหมือนกัน

แต่ถ้าทำงานเข้าเกณฑ์ ผลงานที่สำเร็จมันก็ใช้ได้ใช่ไหม แต่คนที่มีชำนาญมันทำงานได้มากกว่า ดูอย่างศิลปินสิ อย่างภาพวาดต่างๆ เห็นไหม วาดได้เหมือนกัน แต่บางคนวาดได้อ่อนช้อยกว่า วาดได้ดีกว่า อันนั้นความว่างก็เหมือนกัน ในสกิทา อนาคานี่มันกว้างขวางแคบขนาดไหน มันเป็นอำนาจวาสนาอันหนึ่ง อันที่บารมี แต่ผลที่เป็นเกณฑ์คือว่ามันขาดอย่างไร ถ้ามันขาดอย่างไรนี่ ผลงานที่ทำสำเร็จได้ แต่สำเร็จแล้วออกไปแล้ว มันย่อมมีผลงานที่ละเอียดอ่อนกว่า

ดูสิ ดูอย่างโสดาบันนี่ชาติเดียว เห็นไหม ที่ว่าเอกพีชีชาติเดียว เห็นไหม ๓ ชาติ ๗ ชาตินี่ มันทำไมอย่างนั้นล่ะ แต่โดยเกณฑ์ ๗ ชาติ ถ้ายังต้องเกิดต้องตายอยู่ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเลยมันก็สำเร็จในชาตินี้ สิ่งนี้ความเป็นโดยหลักโดยเกณฑ์อันหนึ่ง โดยความชำนาญ โดยอำนาจวาสนาบารมีอย่างหนึ่ง

แต่เวลาคุยกันออกมานี่ เดี๋ยวนี้ธรรมะในภาคปฏิบัติเรานี่ ที่เวลาเราย้อนกลับนะ ย้อนกลับว่าศาสนาเสื่อมๆ ที่ว่าเสื่อม เสื่อมที่ไหน? เสื่อมในใจของมนุษย์ ศาสนาไม่เคยเสื่อม ถ้าศาสนาเสื่อมๆ ในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันเข้าไม่ถึงธรรม เห็นไหม เวลาสมัยหลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์นี่ เป็นผู้ที่รื้อค้นมา แล้วหลวงปู่มั่นหลวงปู่เสาร์นี่เป็นผู้ที่รู้จริง เห็นไหม จะเข้าใจกัน จะอยู่ห่างไกลกันนะ หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นไม่ค่อยได้เจอกันหรอก แต่ใจถึงใจ ความรู้อันเดียวกันมันจะยอมรับกันอย่างมหาศาลเลย

แล้วพอเริ่มปฏิบัติไป พอคนเริ่มศึกษาเข้าไปมากเข้าๆ เดี๋ยวนี้การปฏิบัติเจริญรุ่งเรือง แต่เจริญรุ่งเรืองมันก็เป็นผลที่ออกมาจากผลที่เราไปจำมาอันนั้นไง นี่มันเสื่อมไปตรงนี้ มันเสื่อมตรงเข้าไม่ถึงไง นี่ศาสนาเสื่อม เสื่อมเพราะมันไปติดพิธีการกันหมด

ดูสิ ดูอย่างที่ว่าเขามาถาม เห็นไหม ว่าถ้าเป็นสังฆทาน สิ่งที่เป็นสังฆทานโดยทั่วๆ ไป เขาบอกว่าถ้ามาในสายปฏิบัติเรานี่ ถ้าเป็นเรื่องสังฆทาน เห็นไหม สีละวันตัสสะ เป็นผู้มีศีล แต่ถ้าเป็นพวกสังโฆก็ต้องอุปโลกน์ เขาก็มั่นใจว่าอย่างนี้เขาไม่เป็นเปรต แต่ไปโดยวัดทั่วๆ ไป เขาก็ต้องถวายทานกัน ถ้าเขาไม่ทำกัน อย่างนั้นเป็นเปรตไหม

เราจะบอกว่า สังคมทำกันไปเป็นพิธีกรรม พอพิธีกรรมทำกันไปเป็นพิธี เห็นไหม มันขลังดี ทำแล้วมันดูน่าเชื่อถือ แล้วน่าเชื่อถือนี่ ถ้าเราให้กันโดยเราเป็นสังฆทานในหัวใจของเรา อย่างเช่น เราจะถวายสังฆทาน เรานึกไปสังฆทานแล้วเราถวายของเราไปเลยนี่ เป็นสังฆทานแล้วนะ เพราะเจตนาเรามีแล้ว

แต่ถ้าเป็นพิธีกรรม ไม่ได้นะ! ต้องขาดนู่นขาดนี่ ต้องประกอบพิธีทั้งหมดเลย ก็เหมือนเราไง เราทำอะไรโดยความสะดวกของเรา กับเราทำอะไรโดยต้องมีสัญญาทั้งหมดเลย สัญญาๆ เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเป็นสังฆทานมันก็เป็น แต่ถ้าทำตามอภิธรรม เขาบอกไม่ได้ ไม่เป็นสังฆทานหรอก ถ้าสังฆทานต้องครบทุกอย่าง ต้องกล่าวคำถวาย ต้องทุกอย่างเลย!

แล้วทุกอย่างเลย แล้วเวลาโยมให้ทุกอย่างเลย แต่เวลาของเป็นของสงฆ์แล้ว แล้วทำไมพระไม่ทำให้ครบล่ะ ถ้าเป็นสังฆทานปั๊บมันก็เหมือนกฐินนี่ เหมือนกฐินเวลามีกฐินแล้วต้องมีการอุปโลกน์เพราะมันเป็นของของสงฆ์ ผู้ใดใช้ของสงฆ์ผู้นั้นเป็นเปรต เห็นไหม แล้วเวลากระทำกัน ทำกันเวลาเขาให้เขามานี่ ให้เพื่อให้ดูมันขลัง แต่เวลาอุปโลกน์ เวลาทำให้มันถูกต้องไม่ได้ทำ พอไม่ได้ทำนี่เขาถึงว่า เขาไม่สบายใจเลย

จะบอกว่า เวลาเราศึกษาเข้าไปแล้วนะ เราไปรู้กฎระเบียบ รู้กฎหมาย รู้ต่างๆ แล้วเราทำผิดๆๆๆๆ ไปนี่มันจะสะเทือนใจเรามาก แต่ถ้าเราทำขึ้นมานี่ สิ่งนี้ถ้าเป็นกฎหมาย ถ้ามีการร่างกฎหมายเข้าไปในกรอบกฎหมาย ต้องเป็นกฎหมาย แต่ถ้าเราทำนะ มันไม่เข้ากรอบกฎหมาย แต่มันเป็นบุญกุศล เห็นไหม

อย่างเช่น เรามานี่เราถวายเลยๆ จะเป็นสังฆทานไม่สังฆทาน เราเจตนาสิ สังฆทานดิบสังฆทานสุก เห็นไหม สังฆทานเปียก สังฆทานอาหาร อาหารที่ว่าในปิ่นโตนี่ แม้แต่ปิ่นโตเดียวเรายกขึ้นจบบนหัวนะ แล้วเราคิด เราน้อมนึกถวายเป็นสังฆทาน เป็นสังฆทานโดยตัวเราเองเลย แล้วเป็นสังฆทานแล้วแต่ไม่ได้กล่าวคำถวายใช่ไหม ไม่ได้กล่าวคำถวายมันก็ไม่เป็นกฎหมายขึ้นมาใช่ไหม พอไม่เป็นกฎหมายขึ้นมานี่คนใช้ขึ้นไปมันก็ไม่เป็นโทษกับใครใช่ไหม

สิ่งที่มันเป็นโดยเนื้อหาสาระของมัน มันมีอยู่ แต่ก็ไปแอ๊กชั่นกัน ไปทำเป็นประเพณีกัน เห็นไหม มันเสื่อมกันไปเรื่อยๆ เสื่อมเพราะติดพิธีกรรมไป ก็เอากฎหมาย เอาสิ่งที่เป็นกระดูกมาแขวนคอกัน สิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระไม่กิน ของที่เป็นเนื้อหาไม่เอา เอาแต่กระดูกมาแขวนคอกัน แล้วก็อวดนะว่าฉันมีกระดูกๆ อวดกันไปไง

ปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้ามันเข้าไม่ถึงนะมันจะมีอะไรล่ะ มันก็พูดออกมากระดูกทั้งนั้น เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้มันเป็นโทษกับเรา โทษตรงไหนรู้ไหม โทษว่าเราหลอกเราจนเราเชื่อไง เราหลอกนะว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ มันเป็นความว่าง ปัญญาเกิดอย่างนี้ๆ แล้วเราก็เชื่อกันไป พอเชื่อกันไปนี่มันหลอกเราแล้วเราก็เชื่อ แล้วไปหลอกคนอื่นเชื่อไหม ถ้าหลอกเราเชื่อนี่กิเลสมันกดทับ มันบีบบี้สีไฟจนใจเชื่อมัน แล้วถ้าคนเชื่ออย่างนี้ หนึ่ง...หลง สอง...เสียเวลา ถ้าหลงเสียเวลาไปนี่มันเสียเวลาไป

แต่ถ้าเราตรวจสอบของเราไป ถึงที่สุดมันต้องถึงที่สุดได้ ถึงที่สุดได้นะมันจะรู้ได้เห็นได้ แต่ตรงนี้เราจะเชื่อไม่ได้ เพราะอะไร? เพราะพอเวลาพูด เห็นไหม เราพูดกับใคร นักปฏิบัติที่ว่าอยู่ในวงของพระก็พูดได้ลึกซึ้ง คนศรัทธาใหม่ไง เห็นอะไรก็เป็นบุญกุศลไปหมด เห็นอะไรก็เคารพนบนอบไปหมดเลย แต่พอเข้าไปเห็นรู้ข้อเท็จจริง รู้เนื้อหาสาระมันก็ถอยห่างออกมา เห็นไหม พอถอยห่างออกมานี่ สิ่งนี้มันก็ประสบการณ์มา เวลาพูดอะไรมันก็เริ่มดีขึ้น

แต่ถ้ายังศรัทธาใหม่เห็นอะไรก็ดีไปหมด เห็นไหม ก็คำเดียวกันว่า “ว่าง” ใครก็ว่างๆ เหมือนกัน ว่างของใคร? ว่างของเด็กมันก็ว่างประสาเด็กๆ เห็นไหม ว่างของผู้ที่เขาแบกรับ แบกภาระมาแล้วทิ้งภาระไป ว่างอันนั้นก็มีความสุขนะ แต่ถ้าเป็นความว่างของศาสนา มันไม่ใช่อย่างนั้น ความว่างของศาสนาตัวเราไง ตัวเราทิ้งภาระ แต่ไอ้คนทิ้งภาระเห็นไหม ดูสิ ตัวจิต จิตปล่อยวางเขาหมดเลย แล้วตัวจิตมันปล่อยใคร ตัวจิตนี่มันเป็นใคร แล้วตัวจิตมันจะละตัวมันเองได้อย่างไร

เห็นไหม ความว่างมันมีลึกซึ้ง มีหลายๆ อย่าง เพราะพูดถึงความว่างปั๊บนี่ ถ้าเป็นทั่วๆ ไป จะบอกว่าเป็นอจินไตย เพราะอะไร พุทธวิสัย โลก กรรม ฌาน ฌานคือสมาธิ สมาธิเป็นอจินไตย มึงจะว่างขนาดไหนพูดไปเถอะ ความว่างนี่ไม่มีขอบเขต ถ้าเรื่องมันเป็นอจินไตย

แต่ถ้าเป็นโสดาบัน ...มี สกิทา ..มี อนาคา ...มี พระอรหันต์ ...มี

มีเพราะอะไร? เพราะมันสื่อกันได้ไง มันขอบเขตของมัน มันต้องขอบเขตของมัน มันมีเป็นความเป็นไปของมัน มันมีเหตุมีผลไง มันถึงเป็นอริยสัจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ตรงนี้ รู้ขอบเขตตรงนี้ รู้ความเป็นไปของตรงนี้

เวลาพระอรหันต์สมัยพุทธกาล เห็นไหม อ้างว่าเป็นพระอรหันต์ จะไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกไม่ต้องหรอก ให้พระไปดักหน้าไว้แล้วบอกให้แวะป่าช้าก่อน เห็นไหม พอเข้าไปในป่าช้าไปเห็นซากศพ เห็นอะไรต่างๆ เข้า มันมีอารมณ์กระเทือนใจ มันรู้แล้วไม่ใช่พระอรหันต์

แต่ทำไมตัวเองไม่ตรวจสอบล่ะ ตัวเองไปเชื่อมั่น ให้กิเลสมันเหยียบ เหยียบว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ จะไปรายงานพระพุทธเจ้าด้วยนะ พระพุทธเจ้าบอกไม่ต้องเข้ามาเลย ให้พระไปดักไว้ แล้วบอกให้เข้าไปเที่ยวไปดูป่าช้าก่อน ไปเห็นอาการต่างๆ มันก็แสดงออก นี่ถ้ามันมีการตรวจสอบ มันมีขอบเขตของมัน ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ล่ะ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าอันนี้ไม่ใช่ล่ะ ทำไมอันนี้ใช่ล่ะ เห็นไหม

ดูสิ บางทีว่าเด็กเป็นพระอรหันต์ มีเด็ก มีพระผู้เฒ่าเป็นผู้ร่างค่อม แล้วพระก็ไปลูบหัวเล่น ไปอะไรกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “อย่าไปทำ นั่นพระอรหันต์นะ” เห็นไหม พระอรหันต์เขาไม่แสดงตัวของเขา เขาเงียบของเขา เขารู้ตัวของเขา เพราะอะไร? เพราะการแสดงออกอย่างนั้น ถ้ามันมีกิเลสมันเป็นไปสภาวะแบบนั้น เว้นไว้แต่ครูบาอาจารย์ขณะที่แสดงธรรม ขณะที่ว่าพูดสอนไง พูดสอนมันต้องแสดงความจริง พูดสอนไม่ใช่อวดอุตริมนุสสธรรม เวลาสอนนี่เวลาแสดงออก ตอนสอนนี่ต้องจริงๆ

แต่เวลาไม่ใช่เรื่องหน้าที่มันไม่ควรออก แล้วพระก็ไม่เข้าใจกัน ไปลูบหัวเล่นนะ จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้เตือนเอง เพราะพระปุถุชนไปลูบหัวพระอรหันต์เล่นมันเป็นกรรม มันเป็นกรรมนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นแล้วสงสารมาก เตือนอย่างนั้น แต่เวลาที่แสดงตัวออกไปว่าจะเป็นพระอรหันต์แล้วไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกไปเลย ไปดูซากศพก่อน ไปดูให้มันกระเทือนใจก่อน เห็นไหม นี่ความเป็นไปของกิเลส

ฉะนั้นว่าเวลาเขาแสดงออกมา เข้าวัดว่าเป็นสิ่งที่เป็นธรรม ทิฏฐิมานะทั้งนั้น เวลาอ้าปากขึ้นมานั้น เป็นอย่างนั้นๆ ไปวัดก็ไปเทศน์ให้พระฟังไง จะเทศน์ให้พระฟัง แล้วคำเทศน์ออกมา เอ็งอ้าออกมากิเลสทั้งนั้น ถึงว่างัดหงายท้องไปเลย หงายท้องออกไปเลย เห็นไหม เพราะอะไร? เพราะในศาสนาเราต้องมีความจริง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าธรรมะเห็นไหม นี่อกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ไม่มีกาลนะ จะบอกว่า ๒,๕๐๐ ปีแล้ว ๕,๐๐๐ ปีแล้วจะไม่มีพระอรหันต์ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงนะ พระศรีอริยเมตไตรยจะตรัสรู้เองไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง

มันเพียงแต่ว่าเพราะเราเสื่อมกันเอง ใจของเรามันไม่ศรัทธา ใจของเราศรัทธาก็เข้าไม่ถึง จิตใจเราถอยห่างจากศาสนา ไม่ใช่ศาสนาเสื่อม ใจของเราจะถอยห่างจากศาสนา ศาสนามีอยู่แล้วมั่นคง เพียงแต่คนจะเข้าถึงและไม่เข้าถึง ฉะนั้นเราต้องรักษาหัวใจของเรา สิ่งใดเราต้องหมั่นตรวจสอบ หมั่นพิจารณาของเรา

แล้วการแสดงออก เห็นไหม แสดงออกของใคร ถ้าแสดงออกของธรรม ดูสิ ธรรมอ่อนน้อมถ่อมตน กิเลสอหังการ แต่ธรรมอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อเป็นธรรมนะ อย่าอ่อนน้อมถ่อมตนโดยกิเลส ๒ ชั้น พยายามจะอ่อนน้อมถ่อมตนโดยเล่ห์เหลี่ยม อ่อนน้อมถ่อมตนโดยเล่ห์ ไม่ใช่อ่อนน้อมถ่อมตนโดยธรรม ถ้าโดยเล่ห์อ่อนน้อมถ่อมตนไม่ใช่ธรรมหรอก การอ่อนน้อมถ่อมตนมันก็มองได้ ถ้ามีกิเลสมันก็แสดงออกอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีกิเลสมันแสดงออกอย่างหนึ่ง เห็นไหม นี่เป็นสภาวธรรม

เราศึกษาของเรา เราพบพระพุทธศาสนา แล้วเราปฏิบัติของเรา เพื่อเรา ถ้าให้เข้าถึงใจเรา อย่าไปเชื่อ อย่าให้กิเลสมันเหยียบ เหยียบในหัวใจของเรา กิเลสเหยียบจริงๆ เลย อ้างธรรมกัน ตอนนี้ธรรมะฝ่ายปฏิบัติเจริญ แล้วเจริญมีศักยภาพ ก็ว่าเจริญกันไป แล้วก็ไปอ้างอิงกัน แล้วเหยียบตัวเอง เหยียบเราก่อนเลย คนอื่นเป็นเรื่องของสัตว์โลกเขา เป็นเรื่องของเขา ใจเราอย่าให้กิเลสเราเหยียบ เราต้องให้เป็นสัจจะความจริง แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เอวัง